Thursday, October 19, 2006
นางสุวรรณมาลี สอนสินสมุทและนางอรุณรัศมีดูดาว
ดูโน่นแน่แม่อรุณรัศมี -------------- ตรงมือชี้ดาวเต่านั่นดาวไถ
โน่นดาวธงตรงหน้าอาชาไนย ------- ดาวลูกไก่เคียงอยู่เป็นหมู่กัน
องค์อรุณทูลถามพระเจ้าป้า ------- ที่ตรงหน้าดาวไถชื่อไรนั่น
นางบอกว่าดาวธงอยู่ตรงนั้น ------- ที่เคียงกันเป็นระนาวชื่อดาวโลง
แม้นดาวกามาใกล้ในมนุษย์ ------- จะม้วยมุดมรณาเป็นห่าโหง
ดาวดวงลำสำเภามีเสากระโดง ------- สายระโยงระยางหางเสือยาว
นั่นแน่แม่ดูดาวจระเข้ -------------- ศีรษะเหหกหางขึ้นกลางหาว
ดาวนิดทิศพายัพดูวับวาว ----------- เขาเรียกดาวยอดมหาจุฬามณี
โน่นดาวคันชั่งช่วงดวงสว่าง------- ที่พร่างพร่างพรายงามดาวหามผี
หน่อนรินทร์สินสมุทกับบุตรี ------- เฝ้าเซ้าซี้ซักถามตามสงกา
พระชนนีชี้แจงให้แจ้งจิต ------------ อยู่ตามทิศทั่วไปในเวหา
ครั้นดึกด่วนชวนสองกุมารา ------- เข้าห้องในไสยาในราตรี
พระอภัยมณีของสุนทรภู่ เล่ม ๑ อ้างแล้ว หน้า ๒๑๗.
การสอนเด็กๆตามสถานการณ์ต่างๆเช่นนี้ บิดา - มารดา และผู้ใหญ่ควรหาโอกาสสอนเด็กลูกหลานอยู่เสมอวันละเล็กวันละน้อย จะทำให้ลูกไทยฉลาดและเจริญเติบโตขึ้นมีความรู้อย่างกว้างขวาง สามารถแข่งขันกันเด็กทั่วโลกได้อย่างไม่ต้องสงสัย.
เวียนเทียน
ขอให้ลองเอาคำถามนี้ไปถามพระ ถามคุณครู หรือถามใครๆ ดู อาจได้คำตอบแปลกๆ แตกต่างกันไป แล้วแต่ภูมิปัญญาของท่านผู้ตอบนั้นๆ
ไม่เคยปรากฏว่า การเวียนเทียนนี้มีในศาสนาอื่น แค่จุดเทียนละก็เคยเห็นมีศาสนาอื่นเขาทำกันอยู่บ้าง เวียนเทียนนี่เห็นมีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น
ทำไมจึงต้องเวียนเทียน?
เอาแค่จุดเทียน แล้วเอาปากเป่าเพื่อดับเทียน อย่างที่นิยมในการแสดงความยินดีในวันเกิดของใครๆไม่ได้หรือ?
หรือจะเอาแค่อธิบายว่า เป็นประเพณีที่คนปฏิบัติสืบกันต่อๆมาอย่างนั้น จะหาเหตุผลไปทำไมให้เปลืองสมองอีกเล่า
แต่……ข้าพเจ้าคิดว่า คนโบราณท่านฉลาด ท่านคงอยากเตือนให้ลูกหลานหรือคนในชั้นหลังๆรู้ว่า “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนา แห่งปัญญา ย่อมไม่มีการกระทำใดๆที่ทำไปอย่างไร้เหตุผล” อย่างแน่นอน เพราะทำโง่ๆไม่ได้ มันเป็นบาป
โดยเฉพาะ “แสงเทียนนั้นแทน พระธรรม ซึ่งเป็นปัญญาของโลก” การเวียน คือเดินรอบปูชนียสถาน ก็คือการดำเนินชีวิตของมนุษย์ซึ่งมีอันตรายอยู่รอบด้าน ถ้ามนุษย์เดินตามพระธรรม คือดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง โดยใช้ปัญญา เดินตามแสงสว่างแล้ว ชีวิตย่อมจะปลอดภัย ซึ่ง ย่อมจะดีกว่า ดำเนินชีวิตไปอย่างสุ่มเสี่ยงด้วยความมืด อาจตกลงไปในที่ชั่ว ได้รับความทุกข์ทรมานหรือถึงกับเสียชีวิต
คิดอย่างนี้ น่าจะเป็นเหตุผลที่เข้าเค้าอยู่นะ จะบอกให้/
Saturday, October 14, 2006
ดอกสร้อยสังคมไทย
คนเอ๋ยคนเฒ่า | ตัวของเจ้าอ่อนแอแย่แล้วหนา |
มันฝ้าฟางทึบตึงซึ่งหูตา | ความชราเฒ่าชะแรแก่จนเชย |
มีหลายคนถึงจะแก่ทำแน่อยู่ | เรื่องเจ้าชู้ไก่แจ้แน่จริงเหวย |
ทำเป็นคึกนึกสนุกทุกวันเลย | ผู้เฒ่าเอ๋ยไม่เจียมตนทนทุกข์เอย |
คนเอ๋ยคนไทย | เป็นอะไรไปแล้วแม่แก้วเอ๋ย |
มาวันนี้มีแต่ภัยกันใหญ่เลย | ไม่เสบยจำต้องเสี่ยงชีวิตตน |
พ่อข่มขืนลูกสาวข่าวฉาวโฉ่ | ปู่ ตา หน้าโง่ทำฉ้อฉล |
จะวางใจใครไม่ได้สักผู้คน | แม่ของตนร่วมกับญาติปาดคอเอย |
คลอดเอ๋ยคลอดทิ้ง | แม่ยอดหญิงหักคอล่อยัดถุง |
ทิ้งขยะเป็นข่าวฉาวทั่วกรุง | ใจร้ายมุ่งเข่นฆ่าน่ากลัวครัน |
เอาลูกสาวไปฝากไว้กับเพื่อน | กลายเป็นเหมือนส่งไปให้อาสัญ |
ถูกข่มขืนทั้งสองคนจนมีครรภ์ | คนคิดสั้นมีมากมายใจหายเอย |
แบบเอ๋ยแบบอย่าง | ใครคิดบ้างอย่างดีดียังมีไหม? |
ศีลธรรมนำชีวิตจิตของไทย | รอดพ้นภัยนานมาท่าจะตาย |
มีแต่คนหน้าเป็นไทยใจฝรั่ง | ทุกคนคลั่งสวยรวยกันเหลือหลาย |
คอรัปชั่น ตะบันกาม ตามสบาย | หมดยางอายกันแล้วแจ๋วจริงเอย |
คุณเอ๋ยคุณสตรี | สะดือดีเปิดให้ดูหรูจริงหนอ |
เน้นหน้าอกหน้าใจใหญ่เหลือพอ | เอาร่างล่อหมู่ชายให้ลายตา |
อันสมบัติผู้ดีไม่มีแล้ว | พากันแจวจากไปไม่เห็นหน้า |
สุภาษิตสอนหญิงดิ่งสุธา | ทั้งสวัสดิรักษาหมดท่าเอย |
ข่มเอ๋ยข่มขืน | ช่างขมขื่นขืนใจกระไรหนา |
มันเหี้ยมโหดโฉดชั่วมั่วกามา | ข่มขืนฆ่าน่าอนาถน้ำใจชาย |
อันที่จริงหญิงมีส่วนกระตุ้นเขา | ทั้งแก่ เฒ่า เยาวชน คนทั้งหลาย |
เสียสติ ลืมตัว กลั้วอบาย | เป็นผู้ร้ายติดคุกเป็นทุกข์เอย |
สะวิงเอ๋ยสวิงกิ้ง | ทั้งชายหญิงพี่ไทยล้วนใจหาญ |
เด็ก ผู้ใหญ่เปลี่ยนคู่ชู้ชื่นบาน | เกินโบราณล้ำฝรั่งคลั่งในกาม |
จิตหมกมุ่นมัวเมาเอาสุดสุด | เกินมนุษย์ที่เขาทำมั่วส่ำสาม |
สิ้นครอบครัว สิ้นศักดิ์ศรี สิ้นดีงาม | ได้แต่ความสมอยากลำบากเอย. |
เรื่องเอ๋ยเรื่องนี้ | ล้วนเคยมีอยู่ทุกเผ่าเก่านักหนา |
สมัยก่อนพุทธกาลแต่นานมา | คนคิดว่าเป็นนิพพานก็ยังมี |
จึงสวิงกันวุ่นวายคล้ายกับสัตว์ | สารพัดสมสู่กันดู๋ดี๋ |
ไร้ซึ่งพ่อเผ่าพงศ์วงศ์ผู้ดี | หมดศักดิ์ศรีเสื่อมทรามสิ้นงามเอย |
สวิงเอ๋ยสวิงกิ้ง | คุณผู้หญิงจะได้ยากลำบากหลาย |
พอแก่ตัวหมดสวยจะซวยตาย | ไม่มีชายแวะเวียนมาเชยชม |
ถ้ามีลูกบุญปลูกต้องทนทุกข์ | หมดสนุกไร้คู่มาสู่สม |
จะเหว่ว้าเปลี่ยวเปล่าเศร้าระทม | จะตรอมตรมตรากตรำตกต่ำเอย |
คุณเอ๋ยคุณผู้ชาย | ถึงสบายได้สนุกก็ทุกข์หนอ |
เกิดเป็นชายไร้ศักดิ์ศรีไม่ดีพอ | ความเป็นพ่อเกิดไม่ได้น่าอายใจ |
เมื่อแก่เฒ่าใครเล่าจะชูช่วย | ถึงยามป่วยทุกข์ยากถลากไถล |
จะไม่มีที่พึ่งพิงที่จริงใจ | เป็นคนไร้ค่าแท้แย่จริงเอย. |
ซวยเอ๋ยซวยจริง | ถูกผู้หญิงกัดลิ้นดิ้นเลยหนอ |
ข่มขืนเขาเมามัวชั่วเกินพอ | ถูกแม่ล่อลิ้นด้วนเกือบจวนตาย |
ชาตินี้เห็นทีไม่มีรส | เหมือนจระเข้เหหดรสเหือดหาย |
เป็นไอ้กุดหยุดหื่นฝืนใจกาย | ได้รอดตายมีแต่ทุกข์เข้าคุกเอย |
ตำเอ๋ยตำรวจ | โดนเขาสวดก็ไม่อายใจร้ายเหลือ |
ทั้งฆ่า ซ้อม ทรกรรมทำคลุมเครือ | ไม่มีเอื้อพิทักษ์ราษฎร์ขาดน้ำใจ |
ใช้อำนาจขาดเมตตาน่าหัวเราะ | ถึงคราวเคราะห์นายทิ้งยิ่งไม่ไหว |
สื่อประโคมโจมตีชีช้ำใจ | มีทุกข์ภัยสิ้นยศเสียหมดเอย. |
ขังเอ๋ยขังลืม | ช่างด่ำดื่มนึกว่าสุขทุกข์เหลือหลาย |
จนคลอดลูกในห้องขังซังกะตาย | มันโหดร้ายใช่มนุษย์สุดพรรณา |
ห้องขังใช่อยู่ลับไม่แลเห็น | ทั้งเช้า – เย็น เวรยาม ตามรักษา |
แปดสิบสี่วันสั้นหรือคือเวลา | เกือบพรรษานานนักทุกข์หนักเอย. |
เอาเอ๋ยเอาเปรียบ | นึกว่าเฉียบฉลาดล้ำนำหน้าหนอ |
ซึ่งที่แท้ได้แก่โกงได้ลงคอ | เอาแต่ก่อเวรกรรมซ้ำเติมตน |
ผู้พ่ายแพ้แน่ละจะผูกโกรธ | ล้วนเพิ่มโทษเราเขาเศร้าสับสน |
ไม่เอาเปรียบแต่อุ่นเอื้อจึงเหนือคน | ไม่ปลอมปนจึงจะขาวยืนยาวเอย |
ชาวเอ๋ยชาวบ้าน | หากหน้าด้านเอาเปรียบคนทั้งหลาย |
มีแต่คนเกลียดชังซังกะตาย | เป็นผู้ร้าย,ภัยสังคมไม่สมควร |
ยิ่งเป็นคณะรัฐบาลอ้างงานหนัก | ไม่ถือหลักคุณธรรมจะกำสรวล |
งานสีเทาเอาเปรียบเฉียบลอยนวล | ยิ่งไม่ควรจะให้มีบัดสีเอย |
ศรีเอ๋ยศรีธนญชัย | ฉลาดในเล่ห์เหลี่ยมเยี่ยมนักหนา |
ฉลาดแกมโกงโด่งดังทั้งพารา | เลิศปัญญากว่าใครในธานี |
คนชื่นชอบศรีธนญชัยมีใครบ้าง | เอาเยี่ยงอย่างทางปัญญาสง่าศรี |
เป็นตัวเสี่ยงหลีกเลี่ยงเถียงบาลี | ตัวอย่างมีแต่โบราณนานแล้วเอย |
โชคเอ๋ยโชคมนุษย์ | มาม้วยมุดคลื่นยักษ์มันหักโหม |
“สึนามิ” โคตรโหดโลดจู่โจม | ทุกสิ่งล่มคลื่นคลั่งพัดพังภินท์ |
น่าสงสารนักท่องเที่ยวมาเอี่ยวด้วย | ชีพต้องม้วยลอยเน่าเฝ้าท้องสินธุ์ |
ลอยทะเลถมทับดับจมดิน | สินทรัพย์สิ้นหายศูนย์อาดูรเอย |
วิปเอ๋ยวิปโยค | ถึงคราวโศกกำสรวลหวลโหยหา |
มาพลัดพรากจากไปไม่กลับมา | มันเหว่ว้าเกินจะข่มระทมใจ |
ยี่สิบหกธันวาปีสี่ เจ็ด | น้ำตาเล็ดไหลล้นปนน้ำไหล |
เวลาแปดโมงกว่าน้ำตาไทย | อาบหัวใจไหลราดอนาถเอย |
| |
| สุวรรณ พรหมณา |